Just Love At 3 [ EUNSEO X SEOLA ] - Just Love At 3 [ EUNSEO X SEOLA ] นิยาย Just Love At 3 [ EUNSEO X SEOLA ] : Dek-D.com - Writer

    Just Love At 3 [ EUNSEO X SEOLA ]

    ฉันรอเธออยู่เสมอ..ณ เวลาตีสาม #รักเธอตี3

    ผู้เข้าชมรวม

    240

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    240

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  26 ส.ค. 63 / 22:31 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น


     Just Love At 3 

     [ EUNSEOL ] 



    ..ตีสาม

     

    ..หลังจากวันนั้น

     

    ..ฉันก็เฝ้ารอเวลาตีสามของทุกวัน

     

    ..เพื่อที่จะได้พบเธอ


    ..คนที่มีนาฬิกาปลุกสีแดงเหมือนกัน



    - ซน อึนซอ -



     #รักเธอตี3 






    #เรื่องสั้นเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการที่ถูกสร้างขึ้น ไม่มีเค้าโครงความจริงใด ๆ ทั้งสิ้น

    และไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดีหรือต้องการจะกระทำการใด ๆ ที่ไม่ดีต่อตัวศิลปิน

    หากมีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้



     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

       

      - Just Love At 3 -

       [ EUNSEOL ] 

       

      ..I been up all night, no sleep..

       

      …..

       

       

      ภาพถ่ายโดย Gagandeep จาก Pexels 

       

       

      ...3 เดือนก่อน...


      " โว้ย!!!! " เสียงแหบตะโกนดังลั่นจนก้องไปทั่วบริเวณ กลาง 4 แยกแสนเงียบงันที่ไร้ทั้งรถราหรือแม้กระทั่งผู้คนอย่างไม่คิดเกรงใจใคร


      ท้องฟ้าที่มืดมิด มีเพียงแสงสลัวจากเสาไฟฟ้าข้างทางคงจะเป็นสิ่งที่อธิบายเวลาในยามนี้ได้ดีที่สุด


      ‘ตี 3’

      เวลาที่คนส่วนใหญ่ในเมืองหลวงแห่งนี้กำลังหลับใหลและไล่ตามความฝันด้วยจินตนาการสุดล้ำกันอย่างเมามันส์


      ยกเว้น คนส่วนน้อยอย่างฉัน 'คิม ซอลอา'


      พนักงานบริษัทเอกชนไฟแรงตัวเล็ก ๆ ผู้น่าสงสารที่กำลังยืนแบกข้าวของพะรุงพะรังตะโกนกลาง 4 แยกด้วยความกล้าหาญเพียงลำพัง

      เพียงเพราะถูกหัวหน้าแผนกร่างเทอะทะ ผู้มีเอกลักษณ์ตรงหัวงูที่โผล่พ้นศีรษะล้าน ๆ นั่นทุกครั้งที่เห็นหญิงสาว พ่วงด้วยตำแหน่งผู้ใจบุญ เป็นนักโปรยที่แจกทั้งคำขู่และใบไล่ออกเก่งเหนือความสามารถของตัวเอง สั่งให้กลับไปทำงานชิ้นใหม่มาส่งภายในชั่วข้ามคืน! ด้วยเหตุผลสุดแสนจะเอาแต่ใจราวกับเด็ก 3 ขวบที่ว่า..ฉันไม่ยอมตอบรับคำเชิญไปเดทกับตาลุงคนนั้นที่สวนสนุกในวันอาทิตย์หน้า..


      ...แล้วมันคือความผิดของฉันหรือไง! ที่ฉันไม่ได้ชอบเขาน่ะ!


      แต่ด้วยความที่ฉันเป็นพวกไม่สู้คนนัก (?) จึงยอมสละเวลาในคืนวันศุกร์ที่ควรจะได้หยุดพัก มาปั่นงานกองโตให้เสร็จภายในชั่วข้ามคืนตามคำขาดของหมอนั่น เพื่อแลกกับเงินเดือนที่ต่อชีวิตฉันได้แทนใบไล่ออกและคราบน้ำตา


      ร่างบางที่เหนื่อยอ่อนจากการทำงานทั้งวันพร้อมกับโน๊ตบุ๊คเพื่อนตาย จำใจต้องนั่งจุ้มปุ๊กที่คาเฟ่แห่งหนึ่งในย่านแถว ๆ คอนโดแล้วสั่งกาแฟแรง ๆ หลาย ๆ แก้วที่ช่วยทำให้ตาสว่างในระยะหลายชั่วโมง จนพนักงานแทบจะกราบกรานเชิญออก เมื่อเวลาที่หมดลงในรอบวันของร้านได้เยือนมาถึง


      ตอนนี้ฉันก็ทำได้เพียงเดินคอตกไปเรื่อย ๆ ตามทางเดินสลัว ๆ ของเมืองพร้อมกับหาที่ ๆ เหมาะสำหรับการทำงานชั่วคราว แทนการนอนหลับอยู่บนเตียงนิ่ม ๆ 


      เป็นดั่งนาฬิกาที่ไม่มีวันหยุดเดิน เมื่อเทียบกับความรู้สึกที่ว่ากำลังก้าวเท้าเข้าหาใบลาออกทีละก้าวตามเสียงเข็มวินาทีที่ดังด้วยความแผ่วเบา..


      ความรู้สึกกังวลกำลังอัดแน่นอยู่ในใจจนอึดอัด นึกอยากจะเดินเข้าไปขอลาออกเสียเดี๋ยวนี้ ก่อนที่หยดน้ำตาจะหยดลงด้วยความเจ็บแค้นในใจ


      เสียงนึกโทษสรรพสิ่งดังขึ้นอยุ่ในใจทุกก้าวเดิน


      มันคงจะดีกว่านี้ หากวันนี้เป็นวันที่ดี


      มันคงจะดีกว่านี้ หากไม่ใช่วันที่เครื่องปรับอากาศภายในห้องพักเสียจนทนร้อนแทบไม่ได้


      มันคงจะดีกว่านี้ หากฉันแกล้ง ๆ ตอบรับคำเชิญของตาลุงนั่นไป


      มันคงจะดีกว่านี้ ถ้าที่นี่มีม้านั่งสักตัว 


      ‘คงจะต้องนอนกอดใบลาออกไว้แนบอกจริง ๆ แล้วล่ะ’


      .

      .


      " พระเจ้า! "


      คำอุทานติดปากดังขึ้นด้วยความดีใจทันที เมื่อในโชคร้ายยังคงได้พบกับความโชคดี โดยมีสิ่งที่ต้องการที่สุดในเวลานี้วางอยู่ตรงหน้า


      สองขาที่เคยเมื่อยล้ากลับแข็งขันอย่างลืมตัว จนเผลอกระโดดขึ้นตัวลอยด้วยความดีใจ ในขณะที่ปากสีแดงสดก็พร่ำกล่าวขอบคุณพระเจ้าในความกรุณาเป็นพัน ๆ ครั้งที่ทำให้หัวใจท้อแท้กลับมามีความหวังอีกครั้ง


      ม้านั่งยาวตัวหนึ่งที่วางอยู่ใต้แสงสว่างจากเสาไฟฟ้าในสวนสาธารณะที่ห่างจากร้านคาเฟ่ประมาณ 4 กิโล ตั้งตระหง่านอยู่ต่อหน้าและกำลังเรียกร้องให้ขาเรียวที่ไร้เรี่ยวแรงเดินเตาะแตะเข้าหาราวกับกำลังถูกดึงดูดอย่างไร้เหตุผล


      แต่ที่น่าแปลก..


      ณ เวลาแห่งนี้กลับมีใครบางคนกำลังนั่งอยู่บนฝั่งซ้ายสุดของม้านั่งตัวนั้นอย่างลำพัง


      ใบหน้าที่เรียบเฉยของหญิงสาวเหลือบมองไปยังข้างตัวอย่างเหม่อลอยสักพัก ก่อนจะหันกลับมากดโทรศัพท์เครื่องหรูในมือแล้วถอนหายใจออกมาเสียงดังอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง จนทำฉันเผลอสะดุ้งด้วยความตกใจ


      หัวทุย ๆ ของเธอเอนพิงเข้ากับพนักของม้านั่งช้าพร้อมกับดวงตากลมที่หลับลงช้า ๆ


      ฉันเผลอสังเกตใบหน้าด้านข้างของเธออย่างลืมตัว 


      ใบหน้าขาวใสดูดี แม้ว่าจะเป็นด้านข้างก็ไม่อาจลดความงามของเธอลงได้ ขนตางอนยาวประดับอยู่บนดวงตากลมราวกับถูกดัด จมูกพุ่งโด่งเป็นทรงสวย ริมฝีปากบางสีชมพูปนแดงระเรื่อน่ามอง เสริมเพิ่มมาด้วยสันกรามคมชัดที่เพิ่มเสน่ห์ให้กับกรอบหน้าของใบหน้าสวยนั่นอีก


      ผมดำยาวถูกปล่อยสยายให้คลอเคลียกับลำคอระหง ช่วยขับผิวเนียนให้ดูสว่างขึ้นกว่าเดิมเป็นเกือบเท่าตัว


      เธอดูโดดเด่นไม่ต่างกับหลอดไฟดวงน้อย ๆ ที่กำลังเคลื่อนไหวโลดแล่นอยู่ในยามราตรี


      ร่างโปร่งนั่งไขว่ห้าง อวดขาเรียวยาวที่โผล่พ้นออกมาจากกางเกงขาสั้นภายใต้เสื้อสีดำตัวโคร่ง มือเรียวดันหมวกบักเก็ตสีดำที่สวมอยู่ไปด้านหลัง จนทำให้สายคล้องรั้งอยู่ที่ต้นคอของเธออย่างช่วยไม่ได้

      เสียงกึก ๆ ดังขึ้นเบา ๆ เมื่อรองเท้าผ้าใบสีสว่างตัดกับชุดของแบรนด์ดังแบรนด์หนึ่งกำลังถูกเคาะเป็นจังหวะอย่างสบายอารมณ์


      ใบหน้าคมปนหวานพร้อมกับท่าทางอิริยาบถสบาย ๆ ทำให้หญิงสาวดูสวยและเท่ห์ในเวลาเดียวกัน พาให้ดึงดูดความสนใจจนอยากจะเข้าไปทำความรู้จัก..แต่ในขณะเดียวกันใบหน้าสวยนั่นกลับทำให้นึกถึงใครบางคนอย่างน่าแปลก


      ' มีเสน่ห์จังแหะ คน ๆ นี้ '


      ฉันคิดอยู่ในใจ ก่อนจะตั้งสตินึกขึ้นได้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ไม่เหมาะสำหรับการเอ้อระเหยลอยชาย ชื่นชมความงามที่พระเจ้ามอบให้คนตรงหน้า

      ขาเรียวไม่รอช้า รีบเดินตรงเข้าไปหาม้านั่งตัวนั้นด้วยความทุลักทุเลจากข้าวของที่ถืออยู่เต็มมือ ก่อนจะเอ่ยปากทักทายด้วยความสุภาพตามมารยาทของคนที่พึ่งพบกันในเวลาตี 3 แล้ววางของทั้งหมดลงข้าง ๆ พลางยืนปราดเหงื่อออกจากกรอบหน้าด้วยความเหนื่อยอ่อน


      สายตาเรียบยากจะอ่านออกของคนข้างกายลืมขึ้นอย่างช้า ๆ พลางเหลือบมองสำรวจกันตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเปิดเผย ทันทีที่สิ้นเสียงทักทายของผู้มาเยือน


      ใบหน้านิ่งจดจ้องบนใบหน้าของฉันอยู่หลายวินาทีราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างเงียบ ๆ จนเป็นฉันเองที่อยู่ ๆ ก็เริ่มรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองขึ้น


      ' หรือว่ามีอะไรติดหน้าฉันกันนะ....นอกจากความสวย (?) '


      มือบางถูกยกมือขึ้นปัดไปตามใบหน้าเบา ๆ เผื่อว่ามีบางสิ่งที่ผิดแปลกประดับอยู่บนใบหน้า ก่อนที่ปอยหวานหลุดรุ่ยจะถูกยกขึ้นทัดหู แก้เขินกับสายตาที่ยังคงมองมาไม่หยุด โดยใจบางได้แต่นึกถึงคำขอโทษในความสวยของตัวเองที่ไม่สามารถลดลงได้ตามใจต้องการ 


      สายตาเฉียบคมเหลือบขึ้นมาสบตาอีกครั้ง ก่อนที่ใบหน้าสวยจะพยักหน้าน้อย ๆ แล้วก้มกลับไปสนใจเครื่องมือสื่อสารในมือเช่นเดิม


      เมื่อเห็นว่าคนข้าง ๆ ไม่คิดจะเอ่ยกล่าวอะไร ฉันก็รีบเก็บคำถามสงสัยไว้ในใจแล้วนั่งลงบนม้านั่งอย่างรวดเร็ว ในขณะที่มือเรียวเองก็คว้าข้าวของมาจัดการท่าทางและเครื่องมืออย่างไม่รอช้า


      ‘เอ๊ะ..เดี๋ยวนะ รองเท้าเป็ด!!’


      สายตาที่บังเอิญเหลือบต่ำลงไปมองยังพื้นด้านล่าง ทำให้สมองที่กำลังโล่ง พลันแปรเปลี่ยนไปเป็นคิดหนักถึงความคิดของคนที่นั่งอยู่ข้างกาย ในยามเมื่อครู่


      มือเรียวละจากแป้นพิมพ์ยกขึ้นกุมขมับ นึกอยากจะมุดดินเสียซะตอนนี้ให้รู้รอดไปเลย จะได้ไม่ต้องทนฝืนนึกถึงสายตาที่เคยจับจ้องมาเมื่อครู่


      ความร้อนรุ่มที่เกิดจากอาการเขินอายได้พุ่งปะทุราวกับเป็นภูเขาไฟลูกใหญ่ พาให้ร้อนระอุไปทั่วทั้งร่างอย่างรวดเร็ว และดูเหมือนคนข้างกายเองก็จะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง

      ร่างสูงเหล่มองด้วยแววตาสงสัย จับจ้องมายังใบหน้าที่เรียบนิ่งราวกับสติที่คงเหลืออยู่น้อยนิดได้จากไป ก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นเกาหัวด้วยความมึนงง


      ‘ตาย ๆ ๆ วันนี้มันวันอะไรกันวะเนี่ย!’


      ฉันนึกสบถอยู่ในใจ ก่อนจะรวบรวมความกล้าที่ยังคงเหลืออยู่ไม่มากหยิบหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมาส่องความเป็นไปของร่าง


      “เฮือก!” เสียงสะดุ้งตกใจดังขึ้นอย่างไม่ทันได้เก็บกลั้นอารมณ์


      เมื่อร่างทั้งร่างในเวลานี้ ไม่ต่างอะไรจากทหารผ่านศึกและอาจจะยิ่งกว่าด้วยซ้ำ เพราะความหม่นหมอง ซีดเซียวของใบหน้าที่ไร้เครื่องสำอางปกปิด หรือแม้กระทั่งผมตรงยาวสีดำที่เคยปล่อยสยาย บัดนี้กลับเป็นเพียงก้อนกระจุกมวยผมเละ ๆ ที่ถูกมัดขึ้นลวก ๆ อย่างไม่สนใจใยดีนัก ไหนจะหน้าม้าที่ได้ปฏิญาณกับตนว่าจะดูแลอย่างนี้ หากแต่เวลานี้กำลังถูกโรลม้วนผมสีชมพูม้วนดัดเอาไว้อย่างไม่เป็นระเบียบ


      แต่อย่างว่า..ในโชคร้าย ย่อมมีโชคดี เมื่อลิปสติกสีแดงสดที่มักจะพกติดตัวอยู่เสมอถูกหยิบพกมาด้วย ทำให้มือบางไม่รอช้าที่จะคว้ามันขึ้นมาเติมแต่งริมฝีปากบางซักนิดซักหน่อยตามคติประจำใจที่กล่าวว่า ' หน้าตาดีอยู่แล้ว เพราะงั้นช่างแม่ง แต่ปากน้องจะไม่มีแรง หากไม่แดงไว้ก่อน ' ช่วยเพิ่มสีสันให้ใบหน้าซีดขึ้นมาได้อีกหน่อย


      และเป็นอีกความบังเอิญที่เรียกว่าช่วยทำให้วันนี้เป็นวันที่ซวยอย่างสมบูรณ์แบบได้ไม่ยาก

      เมื่อชุดทำงานตัวเก่งอย่างเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดถูกน้ำหวานสีแดงสดหกใส่จนชุ่ม พาให้เหนียวไปทั้งตัว จนต้องกลับไปเปลี่ยนเป็นชุดลำลองที่ห้องหลังเลิกงานทันทีอย่างไม่มีทางเลือก


      หากว่าทุกคนคิดว่าเรื่องซวย ๆ ที่เกิดขึ้นพวกนี้คงจะจบลงแล้ว ตัวฉันเองก็ขอปฏิเสธด้วยความจริงใจ เพราะมันดันมีเรื่องที่ซวยกว่านี้อีก!


      ชุดลำลองที่กำลังถูกสวมอยู่ในตอนนี้ไม่ควรถูกเรียกว่าชุดลำลองเสียด้วยซ้ำ มันคือเสื้อผ้าตัวเก่าที่ถูกขังลืมไว้ในตู้เสื้อผ้า หากแต่ต้องถูกขุดขึ้นมารับอากาศในยามเย็นด้วยความจำเป็น เพราะผ้ากองโตขนาดมหึมาที่คิดว่าได้ทำการซักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กลับถูกทิ้งไว้ในเครื่องซักผ้า โดยไม่แม้แต่จะกดปุ่มเริ่มต้นการทำงาน มีเพียงผงซักฟอกและน้ำยาปรับผ้านุ่มเท่านั้นที่ราดไปทั่วตัวผ้า ราวกับรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นและกลัวว่าจะถูกฉันหยิบขึ้นมาสวมใหม่อีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทำความสะอาด


      เสื้อยืดตัวแถมที่เคยเป็นสีขาวสุดยับยู้ยี้ กับ กางเกงวอร์มยางยืดขายาวสีแดงที่ถูกพับเก็บมาตั้งแต่สมัยมัธยม ซึ่งตอนนี้มันก็พร้อมจะโบยบิน หากไม่มีเชือกฟางเส้นบางคอยรัดไว้แก้ขัดอยู่ตลอดเวลา ถูกเลือกขึ้นมาใส่ ทั้ง ๆ ที่เวลาปกติแล้วไม่เคยคิดจะแลตามองเสียด้วยซ้ำ แถมด้วยรองเท้าแตะเป็ดน้อยสีเหลืองฟู ๆ ที่เผลอลืมตัวใส่ออกมานอกห้องนอนนี่อีก


      เฮ้อ...นี่มันชุดนอนที่พร้อมจะนอน แต่นอนไม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยนี่นา


      .

      .


      เสียงนิ้วที่เคาะกับแป้นดังขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบเชียบ วังเวง เพราะไร้ซึ่งบทสนทนาระหว่างผู้ที่นั่งบนม้านั่งทั้ง 2 หากแต่มีเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นได้สักพัก จนนึกสงสัย ยอมละสายตาออกจากหน้าจอขึ้นมาเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ


      ‘ติก ๆ ’


      เสียงแผ่วเบาที่ดังขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่เคยขาดช่วงสักวินาทีเดียว ราวกับเป็นเสียงของเข็มนาฬิกาที่กำลังเดินทำหน้าที่อย่างไม่หยุดพัก ทำฉันสงสัยเข้าไปใหญ่


      ‘ใครมันพกนาฬิกาปลุกออกมาข้างนอกด้วยวะ ตลก’


      ฉันนึกยิ้มเยาะอยู่ในใจ คิดเพียงว่าตัวเองคงจะหูฟาด เนื่องจากบรรยากาศที่เงียบเกินเหตุ จนทำให้จิตหลอนออกมา แต่อีกใจหนึ่งก็คิดอยากจะเอ่ยถามคนที่นั่งไม่รู้เรื่องราวด้านข้างว่าได้ยินเหมือนกันหรือไม่ เพื่อความมั่นใจว่าจิตเธอเองยังปกติดี


      เธอยังคงนั่งอยู่ข้างกาย พลางเอนตัวมองท้องฟ้าตรงหน้าอย่างเงียบสงบ จนฉันนึกชื่นชมในอารมณ์ศิลปินของเจ้าตัวในใจ


      หากแต่ยังไม่ทันได้เอ่ยถามอะไรออกไป สายตาเจ้ากรรมก็ดันเหลือบไปเห็น ' นาฬิกาปลุกสีแดง ' ที่กำลังนอนแอ้งแม้ง นิ่งเป็นผักอยู่บนตักเธออย่างสบายใจ โดยมีมือเรียวข้างหนึ่งของหญิงสาวคอยลูบไล้ไปตามหน้าปัดกระจกใสเบา ๆ ด้วยความทะนุถนอม


      “นาฬิกาปลุกธรรมดา ๆ น่ะ” น้ำเสียงเรียบดังขึ้นเป็นครั้งแรกจากคนที่ยังคงทอดสายตามองไปด้านหน้า ทำเอาฉันสะดุ้งด้วยความตกใจ


      ' ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เอ่ยปากอะไรออกไปแท้ ๆ ทำไมเธอถึงรู้ได้ล่ะ '


      ใบหน้าสวยแค่นหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้นมาราวกับรู้ว่าคนข้างกายคิดอะไรอยู่ “หึ เล่นจ้องขนาดนั้นไม่รู้สิแปลก”


      “อุ้ย” ฉันยิ้มแห้ง ๆ ให้คนข้างกายที่ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง "ขอโทษค่ะ"


      “..อยากรู้ก็ถามสิ แค่จ้องฉันคงตอบคำถามให้ไม่ได้นะ”


      “งั้น..”

      ฉันไม่รอช้าที่จะคลายความสงสัย " พกมาด้วยทำไมหรอคะ? "


      " ..อืม นั่นสินะ " สิ้นเสียงคำตอบ มือเรียวที่วางอยู่บนแป้นพิมพ์ของฉันแอบกำหมัดอยู่แน่น

      "คะ?"

      หากแต่ใบหน้าสวยที่ก้มลงมองเรือนของนาฬิกาบนตักกลับดูไม่สนใจคำที่พึ่งกล่าวออกมาเลยสักนิด


      สายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกมากมายปนเปกันจนยากจะเข้าใจได้ " เหมือนว่า..ต้องรอใครสักคนที่มีนาฬิกาปลุกสีแดงเหมือนกัน..มั้งนะ "


      ริมฝีปากบางยกยิ้มขึ้นเบา ๆ ก่อนจะส่งออกมาให้คนที่นั่งข้างกายได้เห็น พาให้ยกยิ้มตามอย่างง่ายดาย


      ‘สวยจัง เวลาเธอยิ้ม’


      “งั้นก็ขอให้พบกันในเร็ววันนะคะ”


      “อืม ขอบคุณนะ แต่เหมือนว่าหลังจากคืนนี้คงไม่ต้องรออีกแล้วล่ะ”


      “คะ?”


      “ก็ได้เจอแล้วนี่เนอะ”


      "..."


      "คนที่มีนาฬิกาปลุกสีแดงเหมือนกันน่ะ"


      สิ้นเสียง เธอคนนี้ก็ตกอยู่ในห้วงภวังค์ความคิดพร้อมกับรอยยิ้มหวานที่ประดับใบหน้าทันที หากแต่ก็พอเข้าใจได้ว่าในตอนนี้เธอคงกำลังตกอยู่ในอาการ ‘Fall In Love’ กับใครสักคนที่พึ่งเจอในระหว่างวันเป็นแน่


      .

      .


      “งานยังไม่เสร็จอีกหรอ?” เธอเอ่ยถามออกมาเบา ๆ เมื่อเห็นว่าเข็มขนาดสั้นที่อยู่ภายใต้หน้าปัดนาฬิกากำลังเคลื่อนเข้าหาเลข 4 อยู่ช้า ๆ " ดูเยอะจังนะ..ถ้าให้เดาคงมีหัวหน้าแย่พอควรเลยใช่ไหมล่ะ? "


      “ไม่หรอกค่ะ แต่ส่วนใหญ่ก็อาจจะใช่” ฉันหัวเราะเบา ๆ ให้กับคำตอบที่ดูย้อนแย้งกันชอบกล


      “รวมตอนนี้ด้วยหรือเปล่า?”


      “ไม่พลาดที่จะนับรวมหรอกค่ะ ”

      ใบหน้าสวยพยักหน้ารับรับรู้ ก่อนจะเหลือบมองหน้าจอโน๊ตบุ๊คที่ถูกเปิดค้างไว้ “เซฟบ่อย ๆ ก็ดีนะ”


      “จริงด้วย?! ลืมไปเลย ขอบคุณนะคะ” ลูกศรเล็ก ๆ ถูกเลื่อนไปยังมุมบนของจอทันที


      “ไม่เป็นไร”


      ฉันยิ้มกว้างให้เธอแทนคำขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะผละมือออกจากแป้นพิมพ์อีกครั้งแล้วสะบัดมือไล่ความปวดเมื่อยแทน " แล้วคุณล่ะคะ ทำงานอะไร? "


      “ลองทายดูสิ” เธอยิ้มออกมาอย่างกวน ๆ


      " นักเต้น? นางแบบ? "


      เธอส่ายหน้าปฏิเสธ


      " งั้น..เป็นดาราหรอคะ? "


      " ...นี่ก็ไม่ใช่ " เธอส่ายหน้าอีกครั้ง


      " เป็นพนักงานออฟฟิศหรอคะ? "


      " ...ไม่ล่ะ " เธอส่ายหน้าอีกรอบ


      " หรือเป็นไอดอล? "


       เธอส่ายหน้าปฏิเสธ


      " นักร้องล่ะ "


      “ช่างเถอะ ฉันเป็นนักเรียน”


      “ห๊ะ?!”

      ' ว่าไงนะ?? นักเรียน? '


      เธอหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างชอบใจ


      ฉันมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา


      “จริงหรอคะ?”


      “อืม จริง” ใบหน้าสวยพยักหน้ารับก่อนจะพูดออกมาด้วยท่าทีสบาย ๆ “แต่ว่าจะเลิกแล้วล่ะ”


      “จะเรียนจบแล้วหรอคะ? ดีใจด้วยนะ”


      “เปล่า จะลาออกน่ะ”


      “…คะ?” 


      “ช่างเถอะ!” เธอถอนหายใจออกมาเสียงดัง ก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่แปรเปลี่ยนเป็นตัดพ้อเบา ๆ “ไม่มีใครมาสนใจด้วยซ้ำ ว่าจะลาออกหรือฝืนเรียนต่อไปหรอก”


      “…”


      “..ก็แค่ เป็นเด็กมีปัญหาคนนึงที่อยากเรียกร้องความสนใจก็เท่านั้นแหละ..” เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นเบา ๆ แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่รู้สึกตามที่แสดงออกเลยก็ตาม “…น่าสมเพศเนอะ”


      “ไม่หรอกค่ะ” ฉันพูดปลอบเธอเสียงเบา “ไม่เห็นเป็นไร อย่าคิดมาก”


      “ขอบคุณนะ”


      .

      .


      "แต่ยังไงก็จะลาออกอยู่ดี"


      .

      .



      " อยากเล่าไหมคะ? "


      “หึ?”


      "บางทีการได้พูดกับคนแปลกหน้าก็อาจจะสบายใจกว่านี่คะ"


      "แต่มันจะทำให้คุณเสียเวลา"


      “ไม่เห็นเป็นไร” ฉันพูดด้วยท่าทีสบาย “ไม่มีเรื่องหนักใจของใคร เป็นเรื่องเสียเวลาหรอกค่ะ”


      “…”


      "อีกอย่าง..งานก็เหลือไม่เยอะแล้ว พักสักหน่อยคงไม่เป็นไรมั้งคะ"


      "อืม"


      เธอพยักหน้ารับ


      “..ขอบคุณนะ” ใบหน้าสวยเงยหน้าขึ้น หลังจากมองไปยังปลายเท้าของตนได้นานสองนาน “งั้น..รบกวนด้วยนะ”



      เสียงหวานเริ่มเล่าเรื่องราวออกมาช้า ๆ โดยมีคนที่นั่งข้าง ๆ อย่างฉันคอยรับฟังอยู่เงียบ ๆ ทำให้พอจะรับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่บ้าง แต่มันก็คงจะไม่ดีเท่าการรับรู้อย่างเห็นได้ชัดเลยว่า นักเรียนสาวที่นั่งอยู่ข้างฉันในเวลานี้ รู้สึกโล่งอกโล่งใจขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่เก็บในใจมานานและไม่เคยกล่าวออกไป หากแต่บัดนี้เรื่องราวได้ถูกปลดพันธะให้ได้โบยบินออกจากใจไปบ้างแล้ว


      .

      .

      เธอคือนักเรียนสาวชั้นม.ปลายปีที่ 3 จากโรงเรียนที่มีชื่อเสียงทางด้านวิชาการแห่งหนึ่งในเมือง แต่ด้วยความที่พ่อเป็นถึงคนที่มีหน้ามีตาทางสังคม ทำให้เธอไม่สามารถเอ่ยออกมาถึงความฝันให้คนอื่นได้รู้ได้

      เธอมีความฝันในการเป็นนักร้องไอดอลตั้งแต่เด็ก เธอรักในการร้อง เธอชอบที่จะฝึกเต้นอยู่หน้ากระจก และเธอก็ฝันไว้ว่าวันหนึ่งจะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนฝึกฝนการแสดงในชั้นม.ปลาย

      หากแต่พ่อของเธอกลับตั้งใจไว้ว่าจะให้เธอได้ขึ้นรับตำแหน่งแทนในอนาคต ท่านส่งเธอไปเรียนพิเศษทุกวัน ถึงขนาดจ้างติวเตอร์มาสอนอยู่อยู่ที่บ้านถึงวันหยุด

      เธอเหนื่อย เหนื่อยเกินไป

      การฝืนความชอบ ทนกับความเครียดจนอึดอัดใจ ทำให้เธอไม่มีความสุขสักนิด..และในที่สุดเธอก็ตัดสินใจไว้ว่าจะลาออกในวันจันทร์ที่กำลังจะมาถึง

      .

      .


      “คุณคิดว่าไง?”


      “หมายถึงอะไรคะ?”


      “ไม่รู้สิ” แววตาของหล่อนที่จ้องมองมาดูจริงจังเป็นอย่างมาก จนทำให้ฉันค่อนข้างหนักใจประมาณหนึ่ง 



      “ขอโทษนะคะ ที่อาจจะพูดอะไรไม่เข้าหูสักหน่อย”

      เธอขมวดคิ้วรับเบา ๆ 

      “แต่ว่า..ฉันไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับวิธีนี้เท่าไหร่”


      "..." 


      “มันดูเป็นวิธีที่โผงผางไปหน่อยน่ะค่ะ”


      “แล้วฉันควรทำยังไงล่ะ?”


      “...”


      “แค่ลาออกทุกอย่างก็จะจบ”


      “ก็ใช่ แต่บางทีการฝืนในช่วงสั้น ๆ เพื่อทำให้เรียนจบ ๆ ไปก็อาจจะดีกว่าก็ได้นะคะ”


      “ทั้ง ๆ ที่ฝืนจนอึดอัดน่ะหรอ”


      “ก็กำลังจะเรียนจบอยู่ในไม่กี่วันแล้วนี่นา”


      “…”


      “…”


      กลายเป็นว่าบทสนทนาระหว่างเราถูกตัดจบเสียซะดื้อ ๆ เพราะดูเหมือนว่าในยามนี้นักเรียนสาวกำลังต่อต้านอย่างหนัก 

      .

      .


      “คุณไม่เข้าใจ”

      เธอพูดออกมาเบา ๆ เมื่ออารมณ์ครุกกรุ่นได้เริ่มลดลงแล้วบ้าง


      “ทำไมถึงคิดว่าฉันไม่เข้าใจล่ะคะ” ฉันถามย้อนกลับ


      “เพราะคุณไม่เคยเจอเหมือนฉัน”

      เด็กตัวโย่งที่นั่งกุมหัวของตัวเอง 


      “ตอนนี้เธออายุเท่าไหร่?”


      “..18”


       ฉันพยักหน้ารับ

      “ส่วนฉันอายุ 26”


      ใบหน้าสวยคิ้วขมวดอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่ฉันกำลังจะสื่อนัก

      “ไม่ได้กำลังจะสื่อว่าตัวเองอายุเยอะกว่าหรืออวดว่าอาบน้ำร้อนมาก่อนเหมือนพวกผู้ใหญ่อะไรนั่นหรอกนะคะ อย่าเข้าใจผิด”


      “แต่ว่า..ฉันในวัย26กำลังเห็นอะไรบางอย่างในผู้หญิงวัย18”


      “คุณหมายถึงอะไรกันแน่?”


      “หมายความว่าถ้าผู้หญิงคนนั้นยอมฝืนเรียนจนจบในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ฉันมั่นใจว่าเธอคนนั้นจะสามารถเป็นไอดอลได้สมบูรณ์แบบเลยแหละ” ฉันรีบพูดดักก่อนที่ใครบางคนจะเข้าใจผิด “และอย่าได้คิดว่าฉันกำลังแซะหรือว่าไอดอลที่เรียนไม่จบนะคะ”


      “แค่อยากให้ได้ลองคิดภาพตามดู”


      “…”


      “สมมติว่าคุณลาออก คุณก็ต้องเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่ปี 1 อีกครั้งเท่ากับว่าเธอก็ต้องใช้ชีวิตทนกับวิชาที่เธอไม่ชอบไปอีก 3 ปี”


      “…”


      “ไม่ชอบวิชานั้นก็เรียนมันแค่ครั้งเดียวสิ ไม่เห็นต้องไปเรียนซ้ำให้ปวดหัวเลย"


      "..."


      "เพราะงั้นการเริ่มต้นใหม่ควรจะเป็นเวลาหลังจากนี้หรือเปล่า..”


      “…”


      “เวลาที่เธอสามารถเป็นไอดอลได้ตามใจ โดยไม่มีใครมาบังคับให้เธอต้องเรียนคณิต มันคงจะดีกว่าตอนที่เธอกำลังซ้อมเต้น แล้วมีคนมาเรียกเธอให้ไปทำการบ้านนะ”


      “…”


      .

      .


      “เข้าใจแล้ว”


      ฉันไม่พูดอะไร หากแต่ยิ้มกว้างให้เธออย่างเป็นกำลังใจแทน


      .

      .



      “ขออะไรสักอย่างได้ไหม?” 


      “เอาสิคะ”


      " มางานปัจฉิมได้ไหม?"


      ฉันมองหน้าเธอด้วยความแปลกใจ “ขอแค่นี้เองหรอคะ?”


      “อื้ม”


      “งั้น..ยินดีค่ะ ฉันจะไปให้เธอเห็นหน้าเป็นคนแรก ๆ เลย!”


      “สัญญาแล้วนะ” นิ้วก้อยเรียวยาวของหล่อนถูกยกขึ้นชูต่อหน้า พาให้ฉันยิ้มกับท่าทางแสนน่ารักของนักเรียนสาว ก่อนที่นิ้วก้อยของฉันเองจะยกขึ้นเกี่ยวแน่นกับนิ้วของเธอ

      “สัญญาสิ”

      ราวกับเป็นสัญญาใจ ภายใต้แสงสว่างของพระจันทร์ในยามค่ำคืน..

      ..ซะที่ไหนกัน ไฟที่ส่องสว่างจากเสาไฟทำเอาซีนนี้ไม่สวยหวานเหมือนในละครเอาซะเลย



      “อ่า..จริงสิ” เธอผละนิ้วออก ก่อนจะพูดขึ้นมาราวกับนึกอะไรได้ “ซน อึนซอ”


      “..คะ?”


      “ฉันชื่อ ซน อึนซอ” เธอพูดทวนอีกครั้ง


      “ยินดีที่ได้รู้จักนะ” ฉันยิ้มกว้าง ก่อนจะแนะนำตัวเองบ้าง

      “ส่วนฉันชื่อ.. "



      " คิม ซอลอา / คิม ซอลอา”



      กลายเป็นว่าชื่อของฉันถูกเสียงหวานพูดประสานขึ้นพร้อมกัน ทำเอาน่าตกใจ “รู้ชื่อฉันได้ยังไงกัน?”


      ใบหน้าสวยยิ้มมุมปาก ก่อนจะพูดด้วยเสียงใส พาให้เจ้าของชื่ออย่างฉันงงกันไปตาม ๆ กัน “ว่าแล้วต้องเป็นพี่!”


      “ยังเหมือนเดิมเลยนะ”


      “ใครกัน?”


      “พี่ไง!” เธอพูดขึ้นอย่างดี้ด้า แปลกไปจากเดิม "แถมเป็นคนดีแบบสุด ๆ ด้วย"


      "..."


      “พี่คงลืมฉันไปแล้วแน่ ๆ เลย”


      “ขอโทษค่ะ..”


      “ไม่เห็นต้องขอโทษ ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” เธอยู่หน้าลง “อีกอย่างมันก็ต้องเป็น 4 5 ปีแล้วมั้ง ที่ไม่ได้เจอกัน”


      ‘4 5 ปี? ตอนนั้นฉันทำอะไรอยู่กันนะ?’

      ความทรงจำถูกนึกย้อนขุดอย่างหนัก เมื่อนึกถึงใบหน้าสวยของคนตรงหน้า แต่กลับจำไม่ได้สักนิด ว่าเคยรู้จักคนที่สวยมากขนาดนี้ตอนไหน


      “พี่เอ็กซี่ยังแกล้งพี่อยู่ไหม?” เสียงหวานเอ่ยถามถึงเพื่อนร่วมงานตัวสูงแสนขี้แกล้งของฉันด้วยท่าทีแสนสนิทสนม


      แม้ว่าจะแปลกใจที่คนตรงหน้ารู้จักเพื่อนสนิทของเธอ หากแต่ก็ยอมพูดกลั้วหัวเราะออกมาเบา ๆ “เอ็กซี่อ่ะหรอ? หึ ถามหาวันไม่แกล้งยังจะง่ายกว่าเลย” จนคนที่ได้ฟังยิ้มตามด้วยท่าทีที่ดูภูมิอกภูมิใจไม่น้อย


      “ดีจังที่อุดมการณ์ของเรายังไม่ล้มเลิก”


      “ว่ายังไงนะ?”


      “..เมื่อ 5 ปีก่อนน่ะ คนที่วางแผนแกล้งพี่เป็นคนแรกคือเด็กอายุ 13 อย่างฉัน ส่วนพี่เอ็กซี่น่ะ ผู้ร่วมขบวนการ”


      ทันทีที่คนตรงหน้าพูดจบ อาการลมแทบจับในตัวฉันก็ทำท่าทีว่าจะดันดุรังขึ้นมาทันที


      ‘ลูกท่านประธาน’


      คือนิยามที่ใครต่อใครมักจะใช้เรียกเด็กคนนี้อยู่เสมอ


      ฉันจ้องใบหน้าสวยของคนตรงหน้าอย่างไม่วางตาและไม่เชื่อสายตาเสียด้วยซ้ำ พลางนึกย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีก่อน


      ใบหน้าสวยหวานของคนตรงหน้าผุดขึ้นมาในหัวสมองรัว ๆ ราวกับเป็นแผ่นหนังที่ถูกเปิดกรอ ให้ย้อนกลับมาดูใหม่อีกรอบ ฉันแทบจะไม่เชื่อสายตาว่าคนตรงหน้ากับคนในความทรงจำเป็นคนเดียวกัน


      ไม่ใช่ว่าเธอในตอนนั้นไม่เหมือนตอนนี้ ใบหน้าสวยยังมีเค้าโครงในวัยเด็กอยู่ไม่น้อย หากแต่ความสวยที่พุ่งทะยานขึ้นใน 5 ปี ทำเอาเธอจำไม่ได้


      ตัวฉันในตอนนั้นเป็นเพียงพนักงานใหม่ของบริษัทแห่งนี้ แต่กลับถูกเด็กตัวเล็กที่พ่วงตำแหน่งลูกของประธานบริษัทเกาะติดชีวิตทั้งวันราวกับเป็นจะนำไปทำสารคดี ไม่ว่าจะทำอะไรหรือไปที่ไหนก็มักจะมีเด็กสาวพ่วงห้อยไปด้วย จนใครต่อใครมักจะเอ่ยแซวเราที่ตัวติดกันเป็นตังเมว่าฉันคือลูกสาวคนโตของท่านประธานที่พลัดพลาดจากมา


      แต่แล้ววันหนึ่งเด็กสาวคนนั้นก็หายไปอย่างไร้ล่องลอย มีเพียงข่าวลือที่ว่าเด็กคนนี้ถูกส่งไปเรียนยังต่างประเทศตามแผนที่วางไว้ของทางครอบครัว ทำเอาฉันใจหายไปเสียดื้อ ๆ ที่ว่ายังไม่ทันได้ล่ำลาจากกัน ก็จะไม่ได้พบหน้ากันอีกนาน


      หากแต่ไม่นานนักเพื่อนร่วมอุดการณ์อย่างเอ็กซี่ก็มาทำหน้าที่นี้แทนเด็กตัวเล็ก จนพาให้ฉันรู้สึกเอือมไปตาม ๆ กัน


      “นิ่งขนาดนี้ จำได้ยัง?”


      “เธอคือลูกท่านประธาน”


      เธอหัวเราะร่า “ดีใจที่พี่จำได้นะ”


      " เธอโตขึ้นมากเลยนะ อึนซอ "


      " โตจนพี่จำไม่ได้เลยล่ะสิ " เธอพูดย้อน " แต่ถ้าจะบอกว่าฉันจำพี่ได้ตั้งแต่แรกล่ะ "


      “นั่นก็เกินไป”


      “ความจริงเถอะ”


      “จ้า” เราหัวเราะออกมาพร้อมกันด้วยความบังเอิญ


      "ถ้าจำได้แล้วทำไมไม่แนะนำตัวแต่แรกเล่า"


      "ก็อยากรู้ไงว่าพี่จะจำกันได้ไหม" เธอหัวเราะออกมาด้วยท่าทีสบาย ๆ "แต่อย่างที่คิดเลย..พี่จำฉันไม่ได้หรอก"


      " ชิ " ฉันจิ๊ปากออกมาเบา ๆ ท่ามกลางเสียงหัวเราะของคนตรงหน้า


      "แต่ไม่ลาออกแล้วเนอะ"


      เธอยิ้มกว้าง หากแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา


      " แล้วไม่กลับบ้านหรอ? " เธอส่ายหน้า


      “รอกลับพร้อมพี่แล้วกัน”


      “แล้วท่านประธานจะไม่ว่าอะไรหรือ?”


      “หึ พ่อน่ะ นอกจากงานก็ไม่เคยสนใจอะไรอีกแล้วล่ะ” เธอพูดออกมาด้วยท่าทีชินชา " อีกอย่างฉันออกมาอยู่คนเดียวตั้งแต่ 2 ปีที่แล้วแล้ว พี่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก "


      " งั้นหรอ? "


      " อืม พี่รีบทำงานต่อเถอะ "


      .

      .


      เสียงเคาะแป้นพิมพ์ดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เจ้าของจะยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจ เมื่อไฟล์เอกสารฉบับใหม่ถูกกดส่งผ่านไปยังปลายทางด้วยอีเมลในช่วงเวลาตี 5 ของวัน


      กระดูกตามข้อนิ้วมือถูกสะบัดจนมีเสียงดังลั่นออกมาเบา ๆ พอช่วยให้หายเมื่อยไปบ้าง


      หากแต่เมื่อหันไปข้าง ๆ ก็พบว่าเด็กสาวที่เคยพูดเสียงเจื้อยแจ้วเป็นเพื่อนอยู่ข้าง ๆ กำลังนอนหลับฝันดี โดยมีนาฬิกาปลุกกอดไว้แน่นแนบอก


      แม้ว่าท่านั่งหลับในเวลานี้ของเธอจะชวนให้ปวดคอมากแค่ไหน หากแต่ออร่าความดูดีกลับไม่ได้ลดลงเลยสักนิด ไม่แน่ว่าอาจจะเพิ่มทวีคูณขึ้น เมื่อดวงตากลมหลับพริ้มจนเผยขนตางอนที่กระเพื่อมตาลมหายใจที่เข้าออกอยู่อย่างสม่ำเสมอก็เป็นได้


      ฉันจ้องภาพตรงหน้าสักพักด้วยความเอ็นดู ก่อนที่มือบางจะคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพความไร้เดียงสาของคนตรงหน้ายามหลับใหล


      ปอยผมสีดำที่ปรกลงบนใบหน้าสวย ทำให้ต้องช่วยปัดออกเบา ๆ เพราะเกรงว่าจะเผลอไปรบกวนคนที่หลับอยู่เข้า พลันนึกถึงเรื่องราวในอดีตระหว่างเราที่มีแต่ความสนุกสนาน จนเผลอทำให้ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว


      ' ปลุกดีไหมนะ?? '


      “ยิ้มทำไมอ่ะ?” จู่ ๆ คนที่หลับตาพริ้มก็ลืมตาขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว จนใบหน้าที่คอยสังเกตอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลสะดุ้ง ตกใจ เมื่อได้ยินเสียง


      “เปล่า สักหน่อย” ฉันปฏิเสธ


      เธอยิ้มกรุ่มกริ่ม ก่อนจะลุกขึ้นบิดลำตัว เพื่อสะลัดความปวดเมื่อยทิ้ง “งานเสร็จแล้วหรอ?”


      “อืม ส่งแล้วด้วย”


      “ว้าว ดีจัง” เธอแกล้งปรบมือแปะ ๆ ด้วยท่าทีชวนให้หมั่นไส้ จนอดไม่ได้ที่จะเบ้ปากให้เบา ๆ

      “แล้วพี่จะทำอะไรต่อล่ะ?”


      “นอน” เป็นคำตอบที่ไม่จำเป็นต้องไตร่ตรองสักนิด หากเธอได้สังเกตถึงดวงตาคล้ำบนใบหน้าซีดเซียวนี่


      “ก็จริง พี่สมควรนอน” เสียงหวานเอ่ยเสริม ก่อนจะยกยิ้มกว้างให้ “อ๋อ ลืมไป..อรุณสวัสดิ์นะคะ พี่ซอลอา”


      “จ้ะ..เปลี่ยนเป็นราตรีสวัสดิ์ก็ดีนะ ยังไม่ได้นอนเลย” เธอหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะยืนมองฉันที่เริ่มเก็บข้าวของที่วางกระจัดกระจายให้เข้าที่


      “พี่พักอยู่ไหนหรอ?”


      “คอนโดที่ห่างจากที่นี่ได้นับ 5 กิโลมั้ง”


      “ฉันก็เหมือนกัน”


      หากเธออยู่ไกลจากที่นี่ได้นับ 5 กิโลเช่นเดียวกับฉัน แล้วทำไมถึงต้องมานั่งเล่นแถว ๆ นี้กันล่ะ ฉันเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย “แล้วสรุปมาทำอะไรที่นี่คนเดียวกันแน่ ทำไมถึงไม่นอนพักล่ะ?”


      ใบหน้าสวยยู่หน้าลง ก่อนจะเอ่ยตอบออกมา “ก็อย่างที่ว่านั้นแหละ รอคนที่มีนาฬิกาปลุกสีแดง”


      “ใครมันจะพกนาฬิกาปลุกออกมาข้างนอกกัน”


      “ฉันไง!”


      “นอกจากเธอ”


      “แล้วอยากรู้ไหมล่ะ?”


      “ยังไง?”


      “แวะที่คอนโดฉันสักแป๊ปสิ เดี๋ยวบอก” ใบหน้าสวยเผยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา จนฉันอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือข้างที่วางฟาดไปยังไหล่มนด้วยความหมั่นไส้


      “โอ๊ยยย” เจ้าตัวแกล้งร้องครวญครางโอดโอยเสียงดัง ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมายกใหญ่


      ทำเอาฉันที่แทบจะเงื้อมือฟาดหัวไหล่มนอีกสักครั้ง หากแต่ต้องเปลี่ยนใจมาเก็บมือให้แน่นแทน เพราะแววตาเป็นประกายที่เธอส่งมา ทำฉันหมั่นไส้มากขึ้นเป็นเท่าตัว จนคิดอยากจะยกมือขึ้นฟาดอีกหลาย ๆ ครั้ง และแน่นอนหากมีครั้งแรก ครั้งต่อ ๆ ไปคงจะเกิดขึ้นจากเครื่องที่กำลังติดเป็นแน่ การตัดไฟแต่ต้นลมคงจะเป็นทางที่ดีที่สุด


      “กลับบ้านกันเนอะ” เธอว่าอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหยิบข้าวของบ้างส่วนที่วางนิ่งอยู่ข้างลำตัวฉันไปถือไว้ซะเอง


      “พี่ถือเองได้น่า” ฉันทำท่าจะคว้ากลับ หากแต่แขนยาวของคนอายุน้อยกว่าดันถือข้าวของหลบไว้ด้านหลังกันมือเอาไว้

      “พี่อายุเยอะแล้วนะ เดี๋ยวฉันช่วยเอง”


      “ชิ!” ฉันกอดอกด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย ก่อนจะเดินนำหน้าไปทันที โดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง ทิ้งให้ร่างสูงหัวเราะร่าแล้ววิ่งตามมาทีหลังแทน


      เราเดินข้างกันไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางแสงอาทิตย์อ่อน ๆ ที่เริ่มสาดส่องทางให้จนมองเห็นเป็นแสงสลัวของช่วงเช้าตรู่ บวกกับแสงไฟสีส้มของเสาไฟข้างทางที่สาดส่องมาเป็นระยะ ๆ


      ฉันตัดสินใจหยุดแวะซื้ออาหารเช้าจากร้านสะดวกซื้อ หลังจากเดินมาได้ไม่นานนัก แต่เพราะท้องที่เริ่มร้องประท้วงเบา ๆ ทำให้นึกขึ้นได้ว่าอาหารเย็นของเมื่อวานมีเพียงกาแฟเท่านั้นเอง


      ภายในร้านมีเพียงพนักงานหนุ่มวัยรุ่นในเครื่องแบบคนหนึ่งเท่านั้น เขายืนตัวโยกเยกไปมา ราวกับเป็นตุ๊กตาล้มลุกแสนโงนเงน จนลูกค้าอย่างเราที่เข้ามาใช้บริการเกรงว่าเขาจะล้มพับไปเสียก่อนที่จะได้วางของบนเคาน์เตอร์สีนวล


      " ยินดีต้อนรับครับ " เสียงงัวเงียกล่าวต้อนรับเบา ๆ ให้เรา 2 คนได้ยิน โดยมีดวงตาปรือคอยสอดส่องอยู่ไม่ห่าง


      เราใช้เวลาไม่นานในการเลือกสรรค์อาหารเช้า ก่อนจะรีบจ่ายเงิน แล้วเดินออกมานอกร้าน เพื่อนั่งทานอาหารข้างกันบนม้านั่งแห่งหนึ่งที่ห่างจากร้านสะดวกซื้อได้ไม่กี่ก้าว


      ข้าวปั้นสาหร่ายเย็น ๆ ก้อนหนึ่งถูกกัดเข้าปากคำโต ก่อนจะดื่มนมรสจืดตามจนหมดกล่อง ทำเอาอิ่มแปล้ ส่งผลให้ดวงตากลมที่คลับคล้ายคลับคลาว่าจะปิดลง เพราะความรู้สึกหนักอึ้งที่เกิดขึ้น

       ส่วนคนข้าง ๆ ก็เช่นกัน เธอแบ่งไส้กรอกรมควันชิ้นโตเป็น 2 ส่วน ก่อนจะยื่นให้ฉันชิ้นหนึ่ง แก้มใส ๆ ป่องขึ้นจากการเคี้ยวตุ้ย ๆ ขนมปังไส้ถั่วแดงถูกกินจนหมด แล้วตามด้วยการดื่มนมรสช็อกโกแลตไปอีกอึกใหญ่ ๆ จนหมดกล่อง


      .

      .


      และในที่สุด เราก็เดินทางมาถึงคอนโดชื่อดังในย่านที่จัดได้ว่าค่อนข้างหรู เพราะแถวนี้มีแต่พวกคนที่มีชื่อเสียงหรือมีหน้ามีตาทางสังคมพักอยู่กันทั้งนั้น ซึ่งนั้นไม่ทำให้ฉันแปลกใจสักเท่าไหร่หรอกที่ลูกประธานชื่อดังจะมาพักอยู่ที่นี่เช่นกัน


      “ถึงสักทีเนอะ!” เธอว่า ก่อนจะยิ้มกว้างให้กัน


      " งั้นพี่ไปก่อนนะ "


      " เดี๋ยวสิ! " เธอตะโกนรั้งขึ้นมาเบา ๆ " มีของจะให้! "


      หากแต่ฉันปฏิเสธด้วยความเกรงใจ " ไม่เป็นไรหรอก "


      " ไม่ได้สิ! เข้ามาก่อน "


      มือเรียวคว้าหมับมายังข้อมือของฉัน ก่อนจะออกแรงลากเบา ๆ ให้เดินตามมานั่งบนโซฟาตัวหนึ่งที่ไม่ใกล้ ไม่ไกลจากเคาน์เตอร์มากนัก


      “ช่วยรอฉันแป๊ปนึงนะ”


      พูดจบเธอก็วิ่งไปทาง ๆ หนึ่งทันที โดยไม่ทันที่คนที่นั่งอยู่จะได้แย้งอะไรออกไป


      ทำเอาฉันที่ต้องนั่งรออยู่บนเก้าอี้อย่างไม่มีทางเลือก หันมองไปรอบ ๆ ด้วยความสนใจและตื่นเต้นในความหรูหราของคอนโดแห่งนี้แทน


      แม้ว่าระยะเวลาที่เธอให้รอ มันจะไม่ได้ยาวนาน แต่มันก็ทำให้คนที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนอย่างฉันสามารถหลับได้ง่าย ๆ ยิ่งมีแอร์เย็น ๆ แบบนี้บวกกับความเพลิดเพลินที่ได้เฝ้ามองอิริยาบถของผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมา ก็ยิ่งง่ายต่อการนอนเข้าไปใหญ่


      " มาแล้ว ๆ " เสียงหวานพูดขึ้นเบา ๆ อย่างขาดห้วง เพราะอาการหอบที่เกิดขึ้น ราวกับคนตรงหน้าพึ่งออกกำลังกายมาได้ไม่นาน ร่างสูงยืนหอมอยู่ตรงหน้าด้วยสภาพเหงื่อไหลเต็มตัว ทำฉันมองดูด้วยความแปลกใจ


      ‘อย่าบอกนะว่า คอนโดหรูขนาดนี้ไม่มีลิฟต์ แย่จริง ๆ ’


      เธอใช้แขนเสื้อยืดปัดเม็ดเหงื่อที่ผุดไหลไปตามกรอบหน้าด้วยความรำคาญใจ ก่อนจะเพ่งสายตาไปที่สิ่งของที่อยู่บนืออย่าง ‘นาฬิกาปลุกสีแดง’ อีกเรือนที่เหมือนกับเรือนที่เธอพกอยู่พอดี


      ถ่านก้อนเล็กถูกสวมต่อหน้าฉันด้วยความคล่องแคล่ว จนเห็นได้ถึงการเคลื่อนที่อย่างสม่ำเสมอของเข็มเล็กที่วิ่งวนได้ครบรอบ ก่อนที่มือเรียวจะหมุนอะไรบางอย่างสักพัก แล้วยกยิ้มอย่างดีใจ


      " ให้ "

      นาฬิกาเรือนเท่าฝ่ามือถูกยื่นมาตรงหน้าฉันที่นั่งมองอยู่เงียบ ๆ


      “ให้พี่ทำไมหรอ??”

      ฉันถามออกมาอย่างไม่เข้าใจนัก


      “ก็พี่จะได้มีนาฬิกาเหมือนกัน..ฉันจะได้ไม่ต้องรอแล้วไง”


      “…”


      “ฟังนะ” เสียงหวานพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “5 ปีที่ผ่านมา ฉันรอมาพี่ตลอด..”


      “…”


      “และในตอนนี้คนที่เหมาะจะได้นาฬิกาไปก็อยู่ตรงหน้าซะแล้วด้วยซิ”


      “…”


      “ถ้าพี่จะปฏิเสธ ฉันก็เข้าใจ แต่ช่วยรับมันไปหน่อยนะ” แววตาคาดหวังที่มองมา ทำฉันคิดหนัก


      ‘มันจะดีหรอ?’


      ‘มันจะเหมาะสมหรอ?’


      ‘แล้วมันจะไม่เป็นไรหรอ?’


      .

      .



      '..แต่ลองเสี่ยงดูอีกสักครั้งจะเป็นไรไป'



      นาฬิกาปลุกเรือนสีแดงที่เธอถือไว้แน่นถูกยกออกมาครองไว้เองอย่างแผ่วเบา จนคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ากลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่


      “ขอบคุณนะ” เธอว่า "แต่พี่จะปฏิเสธใช่ไหม?"


      "ไม่รู้สิ คงต้องดูกันไปยาว ๆ ล่ะมั้ง" 

      ฉันทำท่าเป็นสำรวจนาฬิกา หมุนซ้าย หมุนขวา เพื่อปกปิดความเขินที่กำลังก่อตัวขึ้นกับสิ่งที่เกิดขึ้น


      หากแต่สายตากลับเห็นอะไรบางอย่างทีพาให้สงสัย เมื่อเข็มนาฬิกาปลุกเล็ก ๆ ดันชี้ไปที่เลข 3 อย่างพอดิบพอดีราวกับตั้งใจตั้งเอาไว้


      “ตี 3 “ 


      “แล้วทำไมถึงต้องเป็นตี 3?”


      "ก็ฉันนั่งอยู่ที่ม้านั่งตัวนั้นทุกวัน ตอนตี 3 ไง "


      'ไม่เข้าใจสักนิด ทำไมคนเราถึงคิดจะไปนั่งเล่นที่ม้านั่งตอนตี 3'


      แต่ฉันก็เลือกที่จะไม่ถามคำถามสุดจำเจนี้ออกไปอย่างครั้งที่ผ่าน ๆ มา เพราะคาดว่าคำตอบที่ได้คงไม่ต่างจากเดิมนัก


      “พี่ยังใช้เบอร์เดิมอยู่หรือเปล่า?” มือเรียวทำท่าหยิบโทรศัพท์เครื่องบางขึ้นมาสั่นเบา ๆ


      “ก็ใช่ เบอร์เดิมไม่เคยเปลี่ยน”


      “ฉันก็เหมือนกันนะ” เธอพูดขึ้นเบา ๆ “เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน”


      “…”


      "แต่แค่เปลี่ยนเบอร์น่ะ" เธอหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนที่ร่างสูงจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง“ง่วงไม่ใช่หรอ? รีบกลับไปนอนเถอะ”


      “อ๋อ อือ อืม” ฉันเองก็ลุกขึ้นยืนตามคนตัวสูงที่ยืนมองอยู่ด้วยความรวดเร็ว


      เธอเดินไปส่งฉันที่หน้าประตูทางเข้า ก่อนจะโบกมือลาด้วยท่าทีเสียดาย “ไว้เจอกันใหม่นะ พี่ซอลอา”


      “อืม ไว้เจอกันใหม่ ซน อึนซอ " ก่อนที่ฉันเองจะเป็นฝ่ายหันหลังกลับ แล้วเดินจากไปโดยลำพัง


      ตึ้ง!


      เสียงสัญญาณแจ้งเตือนข้อความของโทรศัพท์ฉันดังขึ้นเบา ๆ หลังจากเดินจากมาได้นับ 10 ก้าว


      01X XXX XXXX :


      หลังจาก 5 ปีที่รอมาตลอด ดีใจจริง ๆ นะที่ได้เจอพี่อีกครั้งนะ..ไม่สิ พูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก

      คงต้องพูดว่าดีใจที่ได้คุยกับพี่อีกครั้ง เพราะฉันเห็นพี่อยู่บ่อย ๆ แต่ไม่กล้าเข้าไปทัก

      แต่วันนี้บังเอิญจังเนอะ..

      เหมือนว่าโชคชะตาจะเป็นใจ..เอ๊ะ ไม่สิ ต้องเป็นเพราะเทพเจ้าในนาฬิกาปลุกที่ดันบังเอิญลั่นตอนตี 3 ของทุกคืนมากกว่า

      นี่ ตอนนี้ฉันอายุ 18 แล้วนะ..ฉันโตพอจะรู้จักพี่อย่างจริงจังแล้ว

      แต่ฉันเองก็อยากจะสารภาพอะไรสักนิด..เรื่องลาออกน่ะ ฉันล้อเล่น! ตอนนี้ฉันอยู่โรงเรียนเตรียมไอดอลตามฝันแล้วล่ะ ขอโทษที่ต้องหลอกพี่นะ แค่อยากรู้ว่าพี่ยังใจดีเหมือนเดิมไหม

      แล้วพี่ก็เหมือนเดิมจริง ๆ ด้วย!


      ส่วนสำหรับวันนี้ฝันดีนะคะ ฉันจะปกป้องพี่จากฝันร้ายเอง!

      แล้วก็เรื่องที่พี่เอางานมาทำนอกเวลา ฉันจะช่วยไปบอกพ่อให้เพิ่มเงินเดือนคนขยันให้เอง! ส่วนคนที่สั่งงานจนทำให้พี่ไม่ได้นอน..อ่า ไม่สปอยล์ดีกว่า X)

      ไว้เจอกันใหม่นะ!


      PS. ที่ว่าพี่ยังเหมือนเดิมน่ะ พี่ก็ยังไม่เปลี่ยนไปจริง ๆ ฉันเองก็ไม่เคยเปลี่ยนใจจากพี่ได้เหมือนกัน



      ‘หึ’ ยิ้มมุมปากที่อยู่ ๆ ก็เผยขึ้นมาประดับใบหน้าอย่างไม่ทันได้รู้ตัว ทันทีที่อ่านข้อความหลายบรรทัดที่ถูกส่งมาซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า


      .

      .


      ‘ใช่ เด็กคนนี้ไม่เคยเปลี่ยนไปจริง ๆ ’


      ............


      -- ขอบคุณที่รับฟังเรื่องราวของฉันนะ --


      - THE END -


      ..........


      - ATHOME -

      ความบังเอิญทำให้เราได้พบกัน

      ถึงแม้จะเป็นเวลาไหน หากแต่แค่ได้พบกันสักครั้งก็ดีไม่น้อยแล้วจริง ๆ

      ขอให้ทุกคนได้สนุกกับค่ำคืนที่แสนยาวนานกับการได้รักกับคนที่รอคอยมาเสมอนะคะ

      - Oh I, I'm praying this ain't all a dream -



      #รักเธอตี3







       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×